จากกรณีที่ หญิง อายุ 62 ปี หญิงที่จะกระโดดน้ำบนสะพานเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง อ.เมืองฉะเชิงเทรา เมื่อวานนี้ (29 ก.ค. 64 ) โดยลูกสาวแท้ๆ วัย 40 ปี หลอกเอาเงินของตนที่เก็บไว้จำนวน 40,000 บาทไป แล้วสัญญาว่าจะทยอยคืน พอตนเองทวงก็โดนด่าตัดแม่ตัดลูก ทำให้ชีวิตพลิกผัน เงินเก็บที่มีหมดลง ขายเสื้อผ้าในตลาดนัดก็ถูกสั่งปิดเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงตัดสินใจไปกู้เงินนอกระบบมาขายน้ำ แต่ก็ขายไม่ดี ไม่พอจ่ายคาดอก จึงอัดอั้นตันใจคิดอยากจะฆ่าตัวตาย จนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือ
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (30 ก.ค. 64) นางเบญมาศ ลิ้มสุขศิริ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดฉะเชิงเทรา เดินทางไปยังห้องเช่า ในพื้นที่ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นห้องพักของหญิงคนดังกล่าว เพื่อนำเงินสดสงเคราะห์จำนวน 2,000 บาท ถุงยังชีพ น้ำดื่มและยาระงับประสาท มามอบให้น.ส.จีรยา พร้อมพูดคุยซักถามอาการ เบื้องต้นอาคารเครียดของหญิงคนดังกล่าวลดลง ถามตอบรู้เรื่อง และมีสุขภาพกำลังใจที่ดีขึ้น
นางเบญมาศ เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวานนี้ได้ช่วยเหลือ โดยนำไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามที่ต้องการ แต่ผลตรวจก็ยังไม่ออกมา และพาไปให้คุณหมอตรวจด้านจิตเวช เพราะทราบว่าคุณป้าเครียดและทำร้ายตัวเอง วันนี้ได้มาติดตามสอบถามอาการของคุณป้า นำยาระงับประสาทและมอบเงินช่วยเหลือในเบื้องต้น รวมไปถุงยังชีพให้ป้าจีรยา ส่วนต่อจากนี้กำลังเร่งดำเนินการให้เจ้าหน้าที่กรอกเอกสาร เพื่อช่วยเหลือในด้านของทุนประกอบอาชีพผู้พิการในกรณีฉุกเฉิน จำนวน 10,000 บาท ส่วนในเรื่องของหนี้นอกระบบนั้น หลังผลตรวจออกแล้ว จะประสานตำรวจ เจ้าหนี้เงินกู้ มาร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยหาทางออกให้ป้าจีรยาต่อไป
ด้านหญิง อายุ 62 ปี คนดังกล่าว ได้ยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือให้ตนเองมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตต่อไป พร้อมเผยถึงอาการที่เครียดว่า ก่อนหน้านี้ตนเองมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ก็ไม่เดือดร้อนขัดสน เป็นเงินที่ตนองเก็บสะสมไว้และเป็นเงินบริจาค ที่ผู้ใจบุญทราบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก ต้องเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลในทุกๆ เดือน
กระทั่งต้นเดือนมีนาคม ปี 2563 ตนเองได้พบลูกสาวแท้ๆ วัย 40 ปีอีกครั้ง หลังจากตนเองเลิกกับสามีแล้ว ลูกสาวของตนก็ได้ให้ญาติของสามีนำไปเลี้ยง ก่อนมาพบเจอกันทางเฟซบุ๊ก จึงมีการติดต่อพูดคุยกัน กระทั่งลูกสาว ได้เอ่ยปากขอยืมเงินจำนวน 40,000 บาทที่ตนเก็บไว้ บอกเพียงว่าจะนำไปใช้หนี้ แล้วจะทยอยผ่อนคืนให้ ตนเองก็เห็นว่าลูกกำลังเดือดร้อนจึงให้เงินเก็บทั้งหมดไป แต่ลูกสาวก็ไม่ยอมผ่อนคืน พอโทรศัพท์ไปทวงถามก็มีปากเสียงทะเลาะกัน
ลูกสาวพูดว่า “หนูไม่น่ามารู้จักแม่เลย หนูไม่มีแม่ หนูไม่มีเงินคืนให้” ก่อนจะตัดสายไป หลังจากนั้นตนเองก็เริ่มนำเงินผู้สูงอายุ เงินผู้พิการ รวบรวมมาจ่ายค่าห้องพัก จำนวน 2,200 บาท แต่ก็ยังไม่พอ โชคดีที่ยังขายเสื้อผ้าได้ ก็นำเงินส่วนนั้นมาจ่ายค่าเช่าห้อง ลงทุนและใช้กิน ใช้รักษาตัวไปวันๆ cต่กระทั่งจังหวัดได้สั่งปิดตลาดนัดให้ขายได้แต่อาหาร ทำให้ตนเองต้องหยุดร้านไม่มีรายได้ จึงตัดสินใจไปกู้เงินนอกระบบ เพื่อลงทุนขายน้ำในตลาดนัดที่ตนเองเคยขาย แต่ก็ขายไม่ดี วันหนึ่งขายทั้งวันสูงสุดไม่เกิน 5 ขวด ได้เงินมา 100 บาท ก็ต้องมาจ่ายดอกหนี้นอกระบบ แต่ก็ยังไม่พอ เพราะวันหนึ่งต้องจ่ายดอกถึง 250 บาท พอไม่มีก็โดนขู่ทำร้าย จนเกิดความเครียดสะสม จึงตัดสินใจจะกระโดดน้ำหนีปัญหาชีวิต แต่วันนี้รู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง เนื่องจากมีคนใจบุญและหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ ให้ตนเองได้ดำเนินชีวิตต่อไป