หลายคนคงจำได้ กับคดีจับกุมของกลางในโกดังย่านบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ปลายปีก่อนที่ต้องจารึกเป็นบทเรียนราคาแพงของหน่วยงานที่รับผิดชอบซึ่งต้องป้องกันไม่ให้ผิดพลาดซ้ำอีกเด็ดขาด
ครั้งนั้นการตรวจพิสูจน์จากชุดทดสอบภาคสนามให้ “สารสีม่วง” ที่มีลักษณะบ่งชี้เป็นองค์ประกอบของเคตามีน ก่อนที่ถัดมาไม่กี่วัน สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จะออกมาเผยผลลัพธ์เหลือเชื่อเมื่อปรากฏว่าของกลางบางส่วนจากการตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดในห้องปฏิบัติการ พบเป็นเพียง “สารไตรโซเดียมฟอสเฟต” ที่ระบุไม่เคยมีข้อมูลมาก่อนว่าสารดังกล่าวก็ให้สารสีม่วงเช่นเดียวกัน
ข้อมูลจาก คู่มือการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดในของกลางเบื้องต้น ของสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายถึงการตรวจพิสูจน์ของกลางภาคสนาม อย่าง “Color test” การทดสอบการเกิดสี ว่า เทคนิคดังกล่าวเป็นที่นิยมเพราะตรวจง่าย ราคาถูก ให้ผลเร็ว สังเกตได้ด้วยตา
วิธีการคือใช้น้ำยาเคมีและดูการเปลี่ยนแปลงสีจากการทำปฏิกิริยาระหว่างตัวอย่างสารกับน้ำยา สีที่ได้จะแตกต่างตามโครงสร้างของกลุ่มและประเภทยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม สีที่ปรากฏสามารถบ่งชี้เบื้องต้นว่ามีสารหรือกลุ่มของยาเสพติดนั้นๆ หรือไม่ แต่ไม่เจาะจง เพราะอาจให้สีเดียวกันแม้เป็นสารคนละกลุ่ม จึงต้องยืนยันด้วยวิธีตรวจพิสูจน์อื่นด้วย
ทั้งนี้ หัวใจการตรวจพิสูจน์คือรายงานผล ดังนั้น การพิสูจน์ต้องอาศัยทั้งอุปกรณ์ที่เหมาะสม ความรู้ ความสามารถผู้ตรวจ และวิธีการตรวจที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะวิธีตรวจที่ต้องพัฒนาให้เท่าทันการเกิดขึ้นใหม่ของสารเคมี เนื่องจากสารบางตัวอาจมีความใกล้เคียงกันมากจนเข้าใจผิดและส่งผลรายงานตรวจพิสูจน์ที่ผิดพลาดด้วย
ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นสัญญาณบทเรียนที่นำไปสู่การแก้ไขความผิดพลาด ด้วยการนำอุปกรณ์ทันสมัยมาใช้ในขั้นตอนสำคัญมากขึ้น โดยการสนับสนุนของ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ที่ส่งมอบเครื่องมือตรวจวิเคราะห์สารเสพติดและสารเคมีที่มีความแม่นยำเป็นที่ยอมรับระดับโลก โดยเทคนิค “Raman Spectroscopy” (รามาน สเปคโตรโคปี) หรือ การวัดค่ากระเจิงของแสง
ต้องยอมรับว่าการพลิกแพลง ปรับเปลี่ยนวิธีการซุกซ่อน ไปจนถึงปะปนสารอื่นในวงการยาเสพติดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ รวมถึงความพยายามสังเคราะห์สารเคมีตัวใหม่ๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจพบ ทำให้การพัฒนาและเลือกใช้เทคโนโลยียิ่งสำคัญ
สำหรับเทคนิค Raman Spectroscopy ที่เพิ่งรับมอบเป็นชนิดพกพา นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนจาก UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ระบุ เป็นอุปกรณ์ตรวจหาสารเสพติดที่ดีที่สุดในโลกและนิยมใช้ตรวจหาสารเสพติดของเจ้าหน้าที่ภาคสนามในสหรัฐ ด้วยระดับความแม่นยำในการตรวจพิสูจน์ของกลางเบื้องต้นสูงถึง 95-100% สามารถสังเคราะห์ยาเสพติด สารตั้งตั้ง เคมีภัณฑ์ได้มากถึง 500 ชนิดตัวอย่าง
อีกคุณสมบัติตอบโจทย์การปรับตัวของขบวนการค้ายาเสพติดมากขึ้นคือ อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถตรวจสอบสารที่เติมเข้าไปในยาเสพติด หรือที่เรียกว่า “สาร Cutting agent” ที่ไม่ใช่สารเสพติด ยกตัวอย่าง สารส้ม แป้ง สารแต่งกลิ่น สี และอื่น ๆ ที่อาจปะปนเข้ามาทั้งในลักษณะของผง ผลึก เม็ด แคปซูล หรือกระทั่งของเหลว ที่สำคัญยังให้ผลการตรวจรวดเร็วไม่เกิน 30 วินาที
วิธีใช้งานคือยิงแสงเลเซอร์ไปที่ตัวอย่างของกลาง จากนั้นอุปกรณ์จะทำการวัดค่ากระเจิงของแสงออกมา วิธีการนี้นอกจากความแม่นยำ ยังหลีกเลี่ยงให้ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องสัมผัสของกลางโดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงและรักษาหลักฐานเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม แม้วิธีใหม่ Raman Spectroscopy จะมีความแม่นยำกว่า Colur test แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงการพิสูจน์เบื้องต้น สิ่งสำคัญของการพิสูจน์เพื่อให้รายงานชัดเจนคือต้องนำเข้าสู่ขั้นตอนตรวจละเอียดในห้องปฏิบัติการ (Laboratory) ด้วย.
ทีมข่าวอาชญากรรมรายงาน
[email protected]